ส่งงบการเงินของ บมจ.ล็อกซเล่ย์ และบริษัทย่อยไตรมาส 2/2538

25 August 1995
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ----------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------- งบการเงินระหว่างกาลรวม สำหรับงวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2538 และ 2537 และ รายงานของผู้สอบบัญชี ----------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------- รายงานของผู้สอบบัญชี เสนอ คณะกรรมการบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ข้าพเจ้าได้สอบทานงบดุลรวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2538 และ 2537 และ งบกำไรขาดทุนรวมสำหรับงวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุดวันเดียวกันของ แต่ละงวด ของบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ตาม มาตรฐานที่กำหนดโดย สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย การสอบทานงบการเงินระหว่างกาลรวมนี้ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยการ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบในการจัดทำงบการเงินระหว่างกาลรวม การใช้วิธี วิเคราะห์เปรียบเทียบในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน และการสอบถาม เจ้าหน้าที่ของบริษัทผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทางการเงินและบัญชี ซึ่ง การสอบทานนี้มี ขอบเขตจำกัดกว่าการตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชีที่ รับรองทั่วไปเพื่อ แสดงความเห็นต่องบการเงินรวมมาก ดังนั้น ข้าพเจ้า จึงไม่อาจแสดงความเห็น ต่องบการเงินรวมที่สอบทานได้ บริษัทบันทึกเงินลงทุนในบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้เสีย ส่วนได้เสีย ในกำไรของบริษัทร่วม - สุทธิ ที่แสดงไว้ในงบกำไรขาดทุนรวมสำหรับ งวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุดวัน ที่ 30 มิถุนายน 2538 และ 2537 คำนวณตามงบการเงินของบริษัทร่วมดัง กล่าวที่ยังไม่ได้ตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชี ยกเว้นเรื่องที่กล่าวในวรรคที่สามข้างต้น ข้าพเจ้าไม่พบสิ่งที่เป็น สาระสำคัญอื่นซึ่งอาจจะต้องนำมาปรับปรุงงบการเงินระหว่างกาลรวมนี้ ให้เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปจากการสอบทานของข้าพเจ้าดังกล่าว ข้างต้น (นายธวัช ภูษิตโภยไคย) ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ทะเบียนเลขที่ 1724 กรุงเทพมหานคร 18 สิงหาคม 2538 ยังไม่ได้ตรวจสอบ สอบทานแล้ว บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย งบดุลรวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2538 และ 2537 สิ น ท รั พ ย์ พั น บา ท 2538 2537 สินทรัพย์หมุนเวียน เงินลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงิน 1,240,438 - ลูกหนี้การค้า - สุทธิ (หมายเหตุ 4) 1,799,548 1,427,424 สินค้าคงเหลือ - สุทธิ (หมายเหตุ 4) 1,614,415 946,967 ลูกหนี้และเงินให้กู้ยืมแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน (หมายเหตุ 3) 120,175 102,491 สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น (หมายเหตุ 5) 640,273 531,648 รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 5,414,849 3,008,530 เงินลงทุนในบริษัทร่วม - วิธีส่วนได้เสีย (หมายเหตุ 3) 1,803,376 1,521,824 เงินลงทุนในบริษัทอื่นที่เกี่ยวข้องกัน - ในราคาทุน (หมายเหตุ 3) 224,079 149,500 เงินลงทุนในกิจการร่วมค้า - ราคาทุน 1,742 1,742 ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ - สุทธิ 1,341,542 1,039,592 สินทรัพย์อื่น (หมายเหตุ 5) 318,870 285,654 รวมสินทรัพย์ 9,104,458 6,006,842 โปรดดูรายงานการสอบทานของนายธวัช ภูษิตโภยไคย ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2538 และหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม ยังไม่ได้ตรวจสอบ สอบทานแล้ว บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย งบดุลรวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2538 และ 2537 หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น พั น บา ท 2538 2537 หนี้สินหมุนเวียน เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมจากธนาคาร 593,177 1,071,519 เจ้าหนี้การค้าและตั๋วเงินจ่าย 535,277 446,616 เจ้าหนี้และเงินกู้ยืมจากบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน (หมายเหตุ 3) 466,797 350,607 หนี้สินหมุนเวียนอื่น 805,740 601,585 รวมหนี้สินหมุนเวียน 2,400,991 2,470,327 เงินกู้ยืมระยะยาว - สุทธิจากส่วนที่ครบกำหนด ชำระภายในหนึ่งปี (หมายเหตุ 5) 948,869 744,934 รายได้รอการตัดบัญชี - สุทธิ (หมายเหตุ 5) 239,628 122,219 หุ้นกู้แปลงสภาพสกุลเงินต่างประเทศ (หมายเหตุ 6) 2,455,000 - เงินรับล่วงหน้าจากลูกค้า (หมายเหตุ 4) 160,151 171,738 เงินทุนเลี้ยงชีพพนักงาน 54,754 40,306 หนี้สินอื่น - 833 รวมหนี้สิน 6,259,393 3,550,357 ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัทย่อย 144,443 96,567 ส่วนของผู้ถือหุ้น (หมายเหตุ 6) 2,700,622 2,359,918 รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น 9,104,458 6,006,842 โปรดดูรายงานการสอบทานของนายธวัช ภูษิตโภยไคย ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2538 และหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม ยังไม่ได้ตรวจสอบ สอบทานแล้ว บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย งบกำไรขาดทุนรวม สำหรับงวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2538 และ 2537 พันบาท งวดสามเดือน งวดหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2538 2537 2538 2537 รายได้ (หมายเหตุ 3) ขายผลิตภัณฑ์และบริการ 1,757,370 1,954,392 3,219,713 2,508,714 ส่วนได้เสียในกำไรของบริษัทร่วม-สุทธิ 96,047 47,034 188,843 66,818 ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่น 86,566 54,566 191,298 148,429 รวมรายได้ 1,939,983 2,055,992 3,599,854 2,723,961 ต้นทุนและค่าใช้จ่าย (หมายเหตุ 3) ต้นทุนขายและบริการ 1,216,084 1,352,003 2,300,421 1,782,546 ค่าใช้จ่ายอื่น 533,815 612,672 1,030,363 796,839 ภาษีเงินได้ 23,177 24,092 29,803 24,855 รวมต้นทุนและค่าใช้จ่าย 1,773,076 1,988,767 3,360,587 2,604,240 กำไรก่อนขาดทุนสุทธิของบริษัทย่อยก่อนซื้อ เงินลงทุนและส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย ในกำไรสุทธิของบริษัทย่อย 166,907 67,225 239,267 119,721 บวก ขาดทุนสุทธิของบริษัทย่อยก่อน ซื้อเงินลงทุน - 3,905 - 3,905 หัก ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยใน กำไรสุทธิของบริษัทย่อย (1,790) (2,371) (115) (2,918) กำไรสุทธิ 165,117 68,759 239,152 120,708 กำไรต่อหุ้น (บาท) 4.13 1.72 5.98 3.02 โปรดดูรายงานการสอบทานของนายธวัช ภูษิตโภยไคย ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2538 และหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย หมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม วันที่ 30 มิถุนายน 2538 และ 2537 1. เกณฑ์ในการจัดทำงบการเงินรวม งบการเงินรวมนี้ได้รวมบัญชีของ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทต่าง ๆ ซึ่งเป็นบริษัท ย่อยหรือบริษัทที่บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) มีอำนาจควบคุม ดังต่อไปนี้ ถือหุ้นในอัตราร้อยละ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2538 2537 บริษัทย่อย บริษัท ล็อกซเล่ย์ บิสซิเนส อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด 99 99 บริษัท ล็อกซเล่ย์ เมียนมาร์ จำกัด (ยังไม่ได้ ประกอบพาณิชยกิจหลัก) 99 99 บริษัท โปรเฟสชั่นนัลคอมพิวเตอร์ จำกัด 67 67 บริษัท โอเพ่น ซีสเต็ม อิทิเกรเตอร์ จำกัด 67 - บริษัท ล็อกซเล่ย์ บรอดคาส แอนด์มีเดีย จำกัด (ยังไม่ได้ประกอบพาณิชยกิจหลัก) 60 60 บริษัท ล็อกซเล่ย์ อินฟรา จำกัด 60 60 บริษัท ฮัทชิสัน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด 55 55 บริษัท ล็อกซเล่ย์ เพจโฟน จำกัด 55 55 บริษัท ล็อกซดาต้า จำกัด 52 52 บริษัทที่บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) มีอำนาจควบคุม บริษัท ธนากรเทรดดิ้ง จำกัด 50 50 บริษัท ล็อกซเล่ย์ พร็อพเพอตี้ จำกัด (ยังไม่ได้ประกอบธุรกิจหลัก) 40 40 บริษัท ล็อกซเล่ย์ อินเตอร์กราฟ (ประเทศไทย) จำกัด 40 40 (ไม่มีอำนาจควบคุม) - 2 - รายการบัญชีที่เป็นสาระสำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างบริษัทและบริษัท ต่าง ๆ ดังกล่าว ข้างต้นได้แสดงหักกลบลบกันในงบการเงินระหว่างกาลรวมนี้แล้ว ในไตรมาสที่สองของปี 2537 บริษัทได้ลงทุนในหุ้นทุนของบริษัท ฮัทชิสัน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ฮัทชิสัน) และ บริษัท ล็อกซเล่ย์ เพจโฟน จำกัด เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 45 เป็นร้อย ละ 55 ในเดือนพฤษภาคม 2537 ณ วันที่บริษัทซื้อหุ้นของบริษัท ฮัทชิสัน บริษัทต้องจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นเกินกว่า มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของ บริษัทดังกล่าว ซึ่งเป็นผลให้บริษัทต้องบันทึกรับรู้ไว้เป็น จำนวนเงินลงทุนในบริษัทย่อยส่วนที่เกินกว่าสินทรัพย์สุทธิ ในบัญชีสินทรัพย์อื่น ซึ่งตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายภายในเวลาประมาณ 12 ปี ยอดคงเหลือที่ยังไม่ได้ ตัดบัญชี ณ วัน ที่ 30 มิถุนายน 2538 มีจำนวนเงินประมาณ 31 ล้านบาท นอกจากนี้ในไตรมาสที่สองของปี 2537 บริษัทยังได้ลงทุนเพิ่มเติม ในหุ้นทุนของบริษัทดังต่อไปนี้ บริษัท ล็อกซเล่ย์ เมียนมาร์ จำกัด บริษัท ล็อกซเล่ย์ บรอดคาส แอนด์มีเดีย จำกัด บริษัท ล็อกซเล่ย์ อินฟรา จำกัด บริษัท ธนากรเทรดดิ้ง จำกัด บริษัท ล็อกซเล่ย์ พร็อพเพอตี้ จำกัด ในไตรมาสที่สามของปี 2537 บริษัทได้ลงทุนในหุ้นทุนของบริษัท โอเพ่น ซีสเต็ม อินทิเกรเตอร์ จำกัด ในอัตราร้อยละ 67 ในไตรมาสที่สี่ของปี 2537 บริษัทที่เกี่ยวข้องกันแห่งหนี่งกับ บริษัทได้ลงทุน ในหุ้นทุนของ บริษัท ล็อกซเล่ย์ อินเตอร์กราฟ (ประเทศไทย) จำกัด เพิ่มเติม ทำให้บริษัทมีอำนาจควบคุมในบริษัทนี้ ดังนั้นงบการเงินของบริษัทต่าง ๆ ที่บริษัทได้ลงทุนไปในระหว่าง ไตรมาสที่สามและสี่ของปี 2537 ดังกล่าวข้างต้น จึงยังไม่ได้รวมอยู่ในงบการเงิน รวมสำหรับไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2537 การรวมงบการเงินรวมของ บริษัทต่าง ๆ เหล่านี้ในงบการเงินรวมสำหรับงวด หกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2538 มีผลทำให้ยอดสินทรัพย์รวม ณ วัน ที่ 30 มิถุนายน 2538 สูงขึ้นประมาณ 114 ล้านบาท และรายได้รวมและกำไรสุทธิรวมในงบการเงินระหว่างกาลรวม สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวัน ที่ 30 มิถุนายน 2538 สูงขึ้นประมาณ 49 ล้านบาท และลดลง 16 ล้านบาท ตามลำดับ - 3 - อนึ่ง เนื่องจากบริษัทถือหุ้นในบริษัท ฮัทชิสัน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ฮัทชิสัน) เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 45 เป็นร้อยละ 55 ในเดือนพฤษภาคม 2537 ดังนั้น บริษัท จึงต้องเปลี่ยนแปลงการรับรู้ผลขาด ทุนสะสมเกินทุนในบริษัทดังกล่าวที่มีอยู่เดิมและที่เกิดขึ้นใหม่ กล่าวคือในช่วงที่ บริษัทถือหุ้นของบริษัทนี้เพียงร้อยละ 45 บริษัทบันทึกบัญชีเงินลงทุนในบริษัทนี้ ตามวิธีส่วนได้เสีย บริษัทจึงไม่ได้ บันทึกรับรู้ผลขาดทุนสะสมเกินทุนที่เป็นส่วน ของบริษัทในงบการเงิน อย่างไรก็ดี เมื่อบริษัทถือหุ้นเป็นร้อยละ 55 บริษัท ต้องนำงบการเงินของฮัทชิสันมาจัดทำงบการเงินรวม ในการนี้ บริษัทต้องบันทึก รับรู้ผลขาดทุนสะสมเกินทุนในงบการเงินรวมด้วยโดยบริษัทปรับปรุงผลขาดทุน สะสมเกินทุน ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2537 ที่เป็นส่วนของบริษัทแยก เป็นสองส่วน กล่าวคือ ส่วนที่กระทบงบการเงินงวดก่อนปี 2537 จะปรับปรุง กับบัญชีกำไรสะสมต้นงวด และส่วนที่กระทบงบการเงินในปี 2537 จะปรับปรุง กับบัญชีกำไรขาดทุนสำหรับปี 2537 สำหรับส่วนแบ่งผลขาดทุน สะสมเกินทุน ในฮัทชิสันที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจะบันทึกรอตัด บัญชีไว้ในบัญชีสินทรัพย์อื่น และตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายโดยวิธีเส้น ตรงภายในเวลาประมาณ 12 ปี นอกจากนี้จะนำส่วนแบ่งในกำไรของฮัทชิสัน ที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยมา หักออกจากยอดที่ยัง ตัดบัญชีไม่หมดเมื่อบริษัทนี้มีกำไรด้วย ขาดทุนสะสม เกินทุนในบริษัทย่อยนี้ที่กระทบงบการเงินงวดก่อน ๆ ซึ่งปรับปรุงกับกำไร สะสมต้นงวด ณ วันที่ 1 มกราคม 2537 มีจำนวนเงินประมาณ 45.9 ล้านบาท ส่วนยอดคงเหลือนี้ที่ยังไม่ได้ตัดบัญชี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2538 มีจำนวนเงินประมาณ 39 ล้านบาท สำหรับเงินลงทุนในบริษัท ธนากรเทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งบริษัทลงทุนไว้ ร้อยละ 50 ในเดือน พฤษภาคม 2537 บริษัทได้นำงบการเงินของบริษัทดัง กล่าวมาจัดทำงบการเงินรวมด้วย เนื่องจากบริษัทมีอำนาจในการควบคุม ใน การนี้บริษัทได้บันทึกผลขาดทุนสะสมเกินทุนของบริษัท ธนากร - เทรดดิ้ง จำกัด ณ วันที่บริษัทเริ่มลงทุนไว้ในบัญชีสินทรัพย์อื่นและตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายภายใน เวลา 15 ปี อย่างไรก็ดี เมื่อบริษัท ธนากร เทรดดิ้ง จำกัด มีกำไร ส่วนแบ่ง ในกำไรของบริษัทเฉพาะที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจะนำมาหักออกจากยอด ที่ยังตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายไม่หมดด้วย ยอดคงเหลือในบัญชีนี้ที่ยังไม่ได้ ตัดบัญชี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2538 มีจำนวนเงินประมาณ 48ล้านบาท 2. กำไรต่อหุ้น กำไรต่อหุ้นสำหรับงวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2538 และ 2537 คำนวณโดยการหารกำไรสุทธิด้วยจำนวน หุ้น ที่ได้รับชำระแล้ว ณ วันที่ในงบดุล - 4 - 3. รายการบัญชีกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน รายการธุรกิจบางส่วนของบริษัทและบริษัทย่อยมีความเกี่ยวพันกับ บริษัทที่เกี่ยวข้องกันบางแห่ง งบการเงินระหว่างกาลรวมนี้ได้รวมผล ของ รายการดังกล่าวตามเกณฑ์ที่ตกลงร่วมกันระหว่างบริษัทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน ดังกล่าว 4. ลูกหนี้การค้าและสินค้าคงเหลือ ลูกหนี้การค้าและสินค้าคงเหลือส่วนที่เป็นงานระหว่างติดตั้งส่วนหนึ่ง เป็นรายการที่เกิดกับหน่วยงานราชการ ซึ่งใช้เวลาในการติดตั้งมากกว่า หนึ่งปี ทั้งนี้บริษัทและบริษัทย่อยได้รับเงินล่วงหน้าจากลูกค้าแล้วส่วนหนึ่ง 5. เงินกู้ยืมระยะยาวและรายได้และค่าใช้จ่ายรอการตัดบัญชี ในเดือนมีนาคม 2536 บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจากธนาคารใน ประเทศแห่งหนึ่งเพื่อ การนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นเงิน ประมาณ 41 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามเงื่อนไขของสัญญาดังกล่าวบริษัทจะ ต้องจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืมนี้เพียงร้อยละ 65 ส่วนจำนวนเงินกู้ยืมอีก ร้อยละ 35 ของวงเงินกู้ให้ถือเป็นเงินให้เปล่า เว้นแต่บริษัทผิดเงื่อนไขในสัญญา เงินกู้นี้มีอัตรา ดอกเบี้ยตาม อัตรา LONDON INTERBANK OFFERED RATE (LIBOR) บวกร้อย ละ 2.775 ต่อปี และมีกำหนดระยะเวลา ชำระคืน 10 ปี โดยบริษัทต้องผ่อนชำระคืนเงินต้นภายใน 20 งวด ทุกวันที่ 15 มีนาคม และ 15 กันยายน ของทุกปี เริ่มงวดแรกในวันที่ 15 กันยายน 2537 เงินกู้ยืมนี้ ค้ำประกันโดยหนังสือค้ำประกันของ ธนาคารที่ออกให้ในนามบริษัทเป็น จำนวนเงินประมาณ 27.2 ล้าน เหรียญสหรัฐฯ โดยมีเงินฝากประจำของบริษัท จำนวนเงินประมาณ 89 ล้านบาท วางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันต่อ ธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกัน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2538 และ 2537 บริษัทได้เบิกเงินกู้จากวง เงินดังกล่าวประมาณ 30.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 15.2 ล้านเหรียญ สหรัฐฯ ตามลำดับ บริษัทบันทึกเงินต้นจากการกู้ยืมเพียงร้อยละ 65 ของ เงินกู้ ส่วนจำนวนที่เหลืออีกร้อยละ 35 ซึ่งถือเป็นเงินให้เปล่าบันทึกไว้ในบัญชี รายได้รอ การตัดบัญชี ในงบดุล เนื่องจากฝ่ายบริหารเชื่อว่าบริษัทจะสามารถ ปฎิบัติตามเงื่อนไขเกี่ยวกับเงินให้เปล่าตามที่ระบุไว้ในสัญญาได้ ค่าธรรมเนียม การใช้วงเงินกู้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2538 และ 2537 มีจำนวนเงิน สุทธิ 11 ล้านบาท และ 6 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งได้แสดงเป็นค่าใช้จ่าย รอการ ตัดบัญชีและรวมเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์อื่นในงบดุล รายได้รอการตัดบัญชี และค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินรอตัดบัญชีนี้จะทยอยรับรู้ เป็นรายได้และ ค่าใช้จ่ายตามระยะเวลาของการชำระคืนเงินกู้ยืม - 5 - เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ทำสัญญากู้ยืม เงินกับธนาคารในประเทศแห่งหนึ่ง โดยได้รับวงเงินสินเชื่อเป็นจำนวน เงินรวม 400 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นเงินกู้สกุลเหรียญสหรัฐอเมริกา เทียบเท่าเงินสกุลบาท และเงินกู้สกุลบาทรวม 2 จำนวน ๆ ละ 200 ล้าน บาทเท่า ๆ กัน โดยเงินกู้ยืมจำนวนแรกมีอัตราดอกเบี้ยตาม อัตรา SINGAPORE INTERBANK OFFERED RATE (SIBOR) บวกร้อยละ 2 ต่อปี ส่วนเงินกู้ยืมจำนวนที่สองมีอัตราดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบี้ยเงิน กู้ขั้นต่ำ (MLR) ที่ประกาศโดยธนาคารในประเทศแห่งหนึ่ง เงินกู้ยืมนี้มี กำหนด ชำระคืนทุกงวดสาม (3) เดือน งวดละเท่า ๆ กันภายในระยะ เวลา 8 ปี โดยเริ่มชำระงวดแรก ภายหลังครบกำหนดระยะเวลา 2 ปี นับ แต่วัน เบิกเงินกู้ เงินกู้ยืมนี้ค้ำประกันโดยการจดจำนองที่ดินพร้อม สิ่งปลูกสร้าง ของบริษัทย่อย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2538 บริษัทย่อย ได้เบิกเงินกู้จาก วงเงิน ดังกล่าวแล้วประมาณ 340 ล้านบาท (แบ่งเป็นเงินกู้สกุล เหรียญสหรัฐอเมริกาประมาณ 8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเทียบเท่า เงินสกุลบาท 200 ล้านบาท และเงินกู้สกุลบาทจำนวนวงเงิน 140 ล้านบาท) บริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารในประเทศสองแห่ง จำนวนเงิน 213.4 ล้านบาท และ 100 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย MLR บวกร้อยละ 1 และ MLR บวกร้อยละ 0.5 ตามลำดับ การจ่ายชำระคืนเงินต้น เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2540 และตุลาคม 2539 ตามลำดับเงินกู้ยืมเหล่านี้ ค้ำประกันโดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน 6. หุ้นกู้แปลงสภาพสกุลเงินต่างประเทศ ในเดือนเมษายน 2538 บริษัทได้ออกหุ้นกู้แปลงสภาพสกุลเงินต่าง ประเทศจำหน่ายในต่างประเทศในราคาตามมูลค่าที่ตราไว้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 100 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา (แบ่งเป็น 100,000 หุ้น โดยมี มูลค่า ที่ตราไว้หุ้นละ 1,000 เหรียญสหรัฐอเมริกา) หรือเทียบเท่าเป็น เงินบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้คงที่เมื่อแปลงสภาพหรือไถ่ถอน เท่ากับ 2,455 ล้านบาท หุ้นกู้นี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.5 ต่อ ปี ซึ่งผู้ถือหุ้นกู้ สามารถใช้สิทธิแปลงสภาพหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญของ บริษัทได้ไม่เกินวันที่ 20 มีนาคม 2548 ในราคาแปลงสภาพตามที่ได้ กำหนดไว้ หรือครบ กำหนดไถ่ถอนในวันที่ 20 เมษายน 2548 ตามอัตราแลก เปลี่ยนคงที่ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ผู้ถือหุ้นกู้สามารถใช้สิทธิแปลง สภาพหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญ ของบริษัท ณ เวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ในระหว่าง วันที่ 20 กรกฎาคม 2538 ถึงวันที่ 20 มีนาคม 2548 หรือใช้สิทธิไถ่ ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดในวันที่ 20 เมษายน 2543 ทั้งนี้ต้องเข้า เงื่อนไขและข้อกำหนดบางประการตามที่ ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน นอกจากนี้ บริษัทสามารถ ใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ บางส่วนหรือทั้งหมดก่อนกำหนดได้ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2541 จนถึง 20 เมษายน 2543 ถ้าเข้าเงื่อนไขตามที่กำหนด ไว้ ในการนี้บริษัทต้อง ปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดบางประการที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน - 6 - เกี่ยวเนื่องกับการออกหุ้นกู้ดังกล่าวข้างต้น ในการประชุมวิสามัญผู้ถือ หุ้นเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 ผู้ถือหุ้นได้มีมติให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียน ของบริษัทจาก 400 ล้านบาท (แบ่งเป็น 40 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท) เป็น 460 ล้านบาท (แบ่งเป็น 46 ล้านหุ้น มูลค่า หุ้นละ 10 บาท) และให้ สำรองหุ้นสามัญ จำนวน 6 ล้านหุ้นที่เพิ่มนี้ เพื่อรองรับการใช้สิทธิในการแปลง สภาพหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญ บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนกับกระทรวงพาณิชย์ แล้ว เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2538 7. ภาระผูกพันและหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2538 ก. บริษัทและบริษัทย่อยมีเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ยังไม่ได้ใช้เป็นจำนวนเงิน รวมประมาณ 1,686 ล้านบาท ข. บริษัทและบริษัทย่อยมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้าจากการ ประกันการ ประมูลงานกับลูกค้าเป็นจำนวนประมาณ 1,072 ล้านบาท ซึ่งบริษัทและบริษัทย่อย ได้ให้ธนาคารออกหนังสือค้ำประกันเพื่อค้ำประกันการประมูลงานดังกล่าว ค. บริษัทมีภาระผูกพันภายใต้สัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า กับธนาคารบางแห่งเป็นจำนวนเงินเทียบเท่าประมาณ 188 ล้านบาท ง. บริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากการค้ำประกันกับธนาคาร ให้กับกิจการร่วมค้าเป็นจำนวนเงินประมาณ 133 ล้าน