งบการเงินไตรมาส 1 (งบรวม)
31 พฤษภาคม 2538
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
-----------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------
งบการเงินระหว่างกาลรวม
สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2538 และ 2537
และ
รายงานของผู้สอบบัญชี
-----------------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------------
--------------------------
รายงานของผู้สอบบัญชี
เสนอ คณะกรรมการบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน)
ข้าพเจ้าได้สอบทานงบดุลรวม ณ วันที่ 31 มีนาคม 2538 และ 2537 และงบ
กำไรขาดทุนรวมสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละงวดของ
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ตามมาตรฐานที่กำหนดโดยสมาคม
นักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย
การสอบทานงบการเงินระหว่างกาลรวมนี้ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยการทำความเข้าใจ
เกี่ยวกับระบบในการจัดทำงบการเงินระหว่างกาลรวม การใช้วิธีวิเคราะห์เปรียบเทียบ
ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน และการสอบถามเจ้าหน้าที่ของบริษัทผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง
ทางการเงินและบัญชี ซึ่งการสอบทานนี้มีขอบเขตจำกัดกว่าการตรวจสอบตามมาตรฐาน
การสอบบัญชีที่รับรองทั่วไป เพื่อแสดงความเห็นต่องบการเงินรวมมาก ดังนั้น ข้าพเจ้า
จึงไม่อาจแสดงความเห็นต่องบการเงินรวมที่สอบทานได้
บริษัทบันทึกเงินลงทุนในบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้เสีย ส่วนได้เสียในกำไรของ
บริษัทร่วม - สุทธิ ที่แสดงไว้ในงบกำไรขาดทุนรวมสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31
มีนาคม 2538 และ 2537 คำนวณตามงบการเงินของบริษัทร่วมดังกล่าวที่ยังไม่ได้
ตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชี
ยกเว้นเรื่องที่กล่าวในวรรคที่สามข้างต้น ข้าพเจ้าไม่พบสิ่งที่เป็นสาระสำคัญซึ่ง
อาจจะต้องนำมาปรับปรุงงบการเงินระหว่างกาลรวมนี้ให้เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรอง
ทั่วไปจากการสอบทานของข้าพเจ้าดังกล่าวข้างต้น
(นายธวัช ภูษิตโภยไคย)
ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
ทะเบียนเลขที่ 1724
กรุงเทพมหานคร
19 พฤษภาคม 2538
ยังไม่ได้ตรวจสอบ
สอบทานแล้ว
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
งบดุลรวม
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2538 และ 2537
สิ น ท รั พ ย์
พั น บา ท
2538 2537
สินทรัพย์หมุนเวียน
ลูกหนี้การค้า - สุทธิ (หมายเหตุ 3 และ 4) 1,635,241 1,074,652
สินค้าคงเหลือ - สุทธิ (หมายเหตุ 4) 1,360,165 992,436
ลูกหนี้และเงินให้กู้ยืมแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน
(หมายเหตุ 3) 120,871 205,663
สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น (หมายเหตุ 6) 547,370 143,251
รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 3,663,647 2,416,002
เงินลงทุนในบริษัทร่วม - วิธีส่วนได้เสีย (หมายเหตุ 3) 1,742,653 1,479,326
เงินลงทุนในบริษัทอื่นที่เกี่ยวข้องกัน - ในราคาทุน
(หมายเหตุ 3) 222,982 143,556
เงินลงทุนในกิจการร่วมค้า - ราคาทุน 1,742 1,742
ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ - สุทธิ 1,265,470 204,842
สินทรัพย์อื่น (หมายเหตุ 6) 244,679 78,860
รวมสินทรัพย์ 7,141,173 4,324,328
โปรดดูรายงานการสอบทานของนายธวัช ภูษิตโภยไคย
ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2538 และหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม
ยังไม่ได้ตรวจสอบ
สอบทานแล้ว
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
งบดุลรวม
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2538 และ 2537
หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
พั น บา ท
2538 2537
หนี้สินหมุนเวียน
เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมจากธนาคาร 1,174,900 774,552
เจ้าหนี้การค้าและตั๋วเงินจ่าย 964,197 250,976
เจ้าหนี้และเงินกู้ยืมจากบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน
(หมายเหตุ 3) 377,540 116,622
หนี้สินหมุนเวียนอื่น 683,518 383,046
รวมหนี้สินหมุนเวียน 3,200,155 1,525,196
เงินกู้ยืมระยะยาว - สุทธิจากส่วนที่ครบกำหนด
ชำระภายในหนึ่งปี (หมายเหตุ 6) 794,524 153,472
รายได้รอการตัดบัญชี - สุทธิ (หมายเหตุ 6) 112,777 109,347
เงินรับล่วงหน้าจากลูกค้า (หมายเหตุ 4) 182,391 70,205
เงินทุนเลี้ยงชีพพนักงาน 50,453 36,205
หนี้สินอื่น 334 985
รวมหนี้สิน 4,340,634 1,895,410
ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัทย่อย 145,033 12,856
ส่วนของผู้ถือหุ้น (หมายเหตุ 5) 2,655,506 2,416,062
รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น 7,141,173 4,324,328
โปรดดูรายงานการสอบทานของนายธวัช ภูษิตโภยไคย
ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2538 และหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม
ยังไม่ได้ตรวจสอบ
สอบทานแล้ว
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
งบกำไรขาดทุนรวม
สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2538 และ 2537
พั น บา ท
2538 2537
รายได้ (หมายเหตุ 3)
ขายผลิตภัณฑ์และบริการ 1,462,343 554,322
ส่วนได้เสียในกำไรของบริษัทร่วม-สุทธิ 92,796 19,344
ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่น 104,732 93,863
รวมรายได้ 1,659,871 667,529
ต้นทุนและค่าใช้จ่าย (หมายเหตุ 3)
ต้นทุนขายและบริการ 1,084,337 430,543
ค่าใช้จ่ายอื่น 496,548 184,167
ภาษีเงินได้ 6,626 763
รวมต้นทุนและค่าใช้จ่าย 1,587,511 615,473
กำไรก่อนส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในขาดทุน (กำไร)
สุทธิของบริษัทย่อย 72,360 52,056
บวก (หัก) ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในขาดทุน
(กำไร) สุทธิของบริษัทย่อย 1,675 (547)
กำไรสุทธิ 74,035 51,509
กำไรต่อหุ้น (บาท) 1.85 1.28
โปรดดูรายงานการสอบทานของนายธวัช ภูษิตโภยไคย
ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2538 และหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
หมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม
วันที่ 31 มีนาคม 2538 และ 2537
1. เกณฑ์ในการจัดทำงบการเงินรวม
งบการเงินรวมนี้ได้รวมบัญชีของบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท
ต่าง ๆ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยหรือบริษัทที่บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) มีอำนาจควบคุม
ดังต่อไปนี้
ถือหุ้นในอัตราร้อยละ
ณ วันที่ 31 มีนาคม
2538 2537
บริษัทย่อย
บริษัท ล็อกซเล่ย์ บิสซิเนส อินฟอร์เมชั่น
เทคโนโลยี จำกัด 99 99
บริษัท ล็อกซเล่ย์ เมียนมาร์ จำกัด (ยังไม่ได้
ประกอบพาณิชยกิจหลัก) 99 -
บริษัท โปรเฟสชั่นนัลคอมพิวเตอร์ จำกัด 67 67
บริษัท โอเพ่น ซีสเต็ม อิทิเกรเตอร์ จำกัด 67 -
บริษัท ล็อกซเล่ย์ บรอดคาส แอนด์มีเดีย จำกัด
(ยังไม่ได้ประกอบพาณิชยกิจหลัก) 60 -
บริษัท ล็อกซเล่ย์ อินฟรา จำกัด
(ยังไม่ได้ประกอบพาณิชยกิจหลัก) 60 -
บริษัท ฮัทชิสัน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์
(ประเทศไทย) จำกัด 55 ต่ำกว่าร้อยละ 50
บริษัท ล็อกซเล่ย์ เพจโฟน จำกัด 55 ต่ำกว่าร้อยละ 50
บริษัท ล็อกซดาต้า จำกัด 52 52
บริษัทที่บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน)
มีอำนาจควบคุม
บริษัท ธนากรเทรดดิ้ง จำกัด 50 -
บริษัท ล็อกซเล่ย์ พร็อพเพอตี้ จำกัด
(ยังไม่ได้ประกอบธุรกิจหลัก) 40 -
บริษัท ล็อกซเล่ย์ อินเตอร์กราฟ (ประเทศไทย)
จำกัด 40 40 (ไม่มีอำนาจควบคุม)
รายการบัญชีที่เป็นสาระสำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างบริษัทและบริษัทต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น
ได้แสดงหักกลบลบกันในงบการเงินระหว่างกาลรวมนี้แล้ว
ในไตรมาสที่สองของปี 2537 บริษัทได้ลงทุนในหุ้นทุนของบริษัท ฮัทชิสัน เทเลคอม-
มิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ฮัทชิสัน) และบริษัท ล็อกซเล่ย์ เพจโฟน จำกัด เพิ่มขึ้น
จากเดิมร้อยละ 45 เป็นร้อยละ 55 ในเดือนพฤษภาคม 2537 ณ วันที่บริษัทซื้อหุ้นของบริษัท
ฮัทชิสัน บริษัทต้องจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นเกินกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิของบริษัทดังกล่าว ซึ่งเป็นผลให้
บริษัทต้องบันทึกรับรู้ไว้เป็น จำนวนเงินลงทุนในบริษัทย่อยส่วนที่เกินกว่าสินทรัพย์สุทธิ ในบัญชี
สินทรัพย์อื่น ซึ่งตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายภายในเวลาประมาณ 12 ปี ยอดคงเหลือที่ยังไม่ได้ตัดบัญชี
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2538 มีจำนวนเงินประมาณ 31 ล้านบาท
นอกจากนี้ในไตรมาสที่สองของปี 2537 บริษัทยังได้ลงทุนเพิ่มเติมในหุ้นทุนของบริษัท
ดังต่อไปนี้
บริษัท ล็อกซเล่ย์ เมียนมาร์ จำกัด
บริษัท ล็อกซเล่ย์ บรอดคาส แอนด์มีเดีย จำกัด
บริษัท ล็อกซเล่ย์ อินฟรา จำกัด
บริษัท ธนากรเทรดดิ้ง จำกัด
บริษัท ล็อกซเล่ย์ พร็อพเพอตี้ จำกัด
ในไตรมาสที่สามของปี 2537 บริษัทได้ลงทุนในหุ้นทุนของบริษัท โอเพ่น ซีสเต็ม
อินทิเกรเตอร์ จำกัด ในอัตราร้อยละ 67
ในไตรมาสที่สี่ของปี 2537 บริษัทที่เกี่ยวข้องกันแห่งหนี่งกับบริษัทได้ลงทุนในหุ้นทุน
ของ บริษัท ล็อกซเล่ย์ อินเตอร์กราฟ (ประเทศไทย) จำกัด เพิ่มเติม ทำให้บริษัทมีอำนาจ
ควบคุมในบริษัทนี้
ดังนั้นงบการเงินของบริษัทต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น จึงยังไม่ได้รวมอยู่ในงบการเงินรวม
สำหรับไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2537 การรวมงบการเงินของบริษัทต่าง ๆ เหล่านี้ใน
งบการเงินสำหรับไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2538 มีผลทำให้ยอดสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 31
มีนาคม 2538 สูงขึ้นประมาณ 1,415 ล้านบาท และรายได้รวมและกำไรสุทธิรวมในงบการเงิน
ระหว่างกาลรวมสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2538 สูงขึ้นประมาณ 659 ล้านบาท
และ 1 ล้านบาท ตามลำดับ
- 3 -
อนึ่ง เนื่องจากบริษัทถือหุ้นในบริษัท ฮัทชิสัน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด
(ฮัทชิสัน) เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 45 เป็นร้อยละ 55 ในเดือนพฤษภาคม 2537 ดังนั้น บริษัท
จึงต้องเปลี่ยนแปลงการรับรู้ผลขาดทุนสะสมเกินทุน ในบริษัทดังกล่าวที่มีอยู่เดิมและที่เกิดขึ้นใหม่
กล่าวคือในช่วงที่บริษัทถือหุ้นของบริษัทนี้เพียงร้อยละ 45 บริษัทบันทึกบัญชีเงินลงทุนในบริษัทนี้
ตามวิธีส่วนได้เสีย บริษัทจึงไม่ได้บันทึกรับรู้ผลขาดทุนละสมเกินทุนที่เป็นส่วนของบริษัทในงบการเงิน
อย่างไรก็ดี เมื่อบริษัทถือหุ้นเป็นร้อยละ 55 บริษัทต้องนำงบการเงินของฮัทชิสันมาจัดทำงบการเงิน
รวม ในการนี้ บริษัทต้องบันทึกรับรู้ผลขาดทุนสะสมเกินทุนในงบการเงินรวมด้วยโดยบริษัทปรับปรุง
ผลขาดทุนสะสมเกินทุน ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2537 ที่เป็นส่วนของบริษัทแยกเป็นสองส่วน
กล่าวคือ ส่วนที่กระทบงบการเงินงวดก่อน ปี 2537 จะปรับปรุงกับบัญชีกำไรสะสมต้นงวด และ
ส่วนที่กระทบงบการเงินในปี 2537 จะปรับปรุงกับบัญชีกำไรขาดทุนสำหรับปี 2537 สำหรับส่วนแบ่ง
ผลขาดทุนสะสมเกินทุนในฮัทชิสันที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจะบันทึกรอตัดบัญชีไว้ในบัญชีสินทรัพย์อื่น
และตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายโดยวิธีเส้นตรงภายในเวลาประมาณ 12 ปี นอกจากนี้จะนำส่วนแบ่งใน
กำไรของฮัทชิสันที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยมาหักออกจากยอดที่ยังตัดบัญชีไม่หมดเมื่อบริษัทนี้มีกำไร
ด้วย ขาดทุนสะสมเกินทุนในบริษัทย่อยนี้ที่กระทบงบการเงินงวดก่อน ๆ ซึ่งปรับปรุงกับกำไรสะสม
ต้นงวด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2537 มีจำนวนเงินประมาณ 45.9 ล้านบาท ส่วนยอดคงเหลือ
นี้ที่ยังไม่ได้ตัดบัญชี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2538 มีจำนวนเงินประมาณ 41 ล้านบาท
สำหรับเงินลงทุนในบริษัท ธนากรเทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งบริษัทลงทุนไว้ร้อยละ 50 ในเดือน
พฤษภาคม 2537 บริษัทได้นำงบการเงินของบริษัทดังกล่าวมีจัดทำงบการเงินรวมด้วย เนื่องจาก
บริษัทมีอำนาจในการควบคุม ในการนี้บริษัทได้บันทึกผลขาดทุนสะสมเกินทุนของบริษัท ธนากร -
เทรดดิ้ง จำกัด ณ วันที่บริษัทเริ่มลงทุนไว้ในบัญชีสินทรัพย์อื่นและตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายภายในเวลา
15 ปี อย่างไรก็ดี เมื่อบริษัท ธนากรเทรดดิ้ง จำกัด มีกำไร ส่วนแบ่งในกำไรของบริษัทเฉพาะที่
เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจะนำมาหักออกจากยอดที่ยังตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายไม่หมดด้วย ยอดคงเหลือ
ในบัญชีนี้ที่ยังไม่ได้ตัดบัญชี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2538 มีจำนวนเงินประมาณ 49 ล้านบาท
2. กำไรต่อหุ้น
กำไรต่อหุ้นสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2538 และ 2537 คำนวณโดย
การหารกำไรสุทธิด้วยจำนวนหุ้นที่ได้รับชำระแล้ว ณ วันที่ในงบดุล
- 4 -
3. รายการบัญชีกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน
รายการธุรกิจบางส่วนของบริษัทและบริษัทย่อยมีความเกี่ยวพันกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน
บางแห่ง งบการเงินระหว่างกาลรวมนี้ได้รวมผลของรายการดังกล่าวตามเกณฑ์ที่ตกลงร่วมกัน
ระหว่างบริษัทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันดังกล่าว
4. ลูกหนี้การค้าและสินค้าคงเหลือ
ลูกหนี้การค้าและสินค้าคงเหลือส่วนที่เป็นงานระหว่างติดตั้งส่วนหนึ่งเป็นรายการ
ที่เกิดกับหน่วยงานราชการ ซึ่งใช้เวลาในการติดตั้งมากกว่าหนึ่งปี ทั้งนี้บริษัทและบริษัทย่อย
ได้รับเงิน ล่วงหน้าจากลูกค้าแล้วส่วนหนึ่ง
5. ทุนเรือนหุ้นและหุ้นกู้
ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 ผู้ถือหุ้นได้มีมติดังนี้
ก) ให้บริษัทออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญได้ในวงเงินประมาณ
80-100 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอายุ 7-10 ปี เพื่อเสนอขายแก่ผู้ลงทุนต่างประเทศ ทั้งจำนวน
โดยให้สิทธิในการไถ่ถอนหุ้นกู้แปลงสภาพก่อนครบกำหนดแก่ผู้ถือหุ้น แปลงสภาพ
(Put Option) ทั้งนี้บริษัทจะนำหุ้นกู้ชนิดแปลงสภาพดังกล่าวเข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์
ลอนดอนประเทศอังกฤษ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2538 บริษัทยังไม่ได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าว
ข้างต้น
ข) ให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 400 ล้านบาท (แบ่งเป็น 40 ล้านหุ้น
มูลค่าหุ้นละ 10 บาท) เป็น 460 ล้านบาท (แบ่งเป็น 46 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท)
และให้สำรองหุ้นสามัญ จำนวน 6 ล้านหุ้นที่เพิ่มนี้ เพื่อรองรับการใช้สิทธิในการแปลงสภาพหู้นกู้
เป็นหุ้นสามัญ บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนกับกระทรวงพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2538
- 5 -
6. เงินกู้ยืมระยะยาวและรายได้และค่าใช่จ่ายรอการตัดบัญชี
ในเดือนมีนาคม 2536 บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจากธนาคารในประเทศแห่งหนึ่งเพื่อ
การนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นเงินประมาณ 41 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตาม
เงื่อนไขของสัญญาดังกล่าวบริษัทจะต้องจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืมนี้เพียงร้อยละ 65 ส่วนจำนวน
เงินกู้ยืมอีกร้อยละ 35 ของวงเงินกู้ให้ถือเป็นเงินให้เปล่า เว้นแต่บริษัทผิดเงื่อนไขในสัญญา
เงินกู้นี้มีอัตรา ดอกเบี้ยตามอัตรา LONDON INTERBANK OFFERED RATE (LIBOR)
บวกร้อยละ 2.775 ต่อปี และมีกำหนดระยะเวลาชำระคืน 10 ปี โดยบริษัทต้องผ่อนชำระ
คืนเงินต้นภายใน 20 งวด ทุกวันที่ 15 มีนาคม และ 15 กันยายนของทุกปี เริ่มงวดแรก
ในวันที่ 15 กันยายน 2537 เงินกู้ยืมนี้ค้ำประกันโดยหนังสือค้ำประกันของธนาคารที่ออกให้
ในนามบริษัทเป็นจำนวนเงินประมาณ 27.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีเงินฝากประจำของบริษัท
จำนวนเงินประมาณ 85 ล้านบาท วางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันต่อธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกัน
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2538 และ 2537 บริษัทได้เบิกเงินกู้จากวงเงินดังกล่าวประมาณ
16.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 13.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ บริษัทบันทึกเงินต้นจากการ
กู้ยืมเพียงร้อยละ 65 ของเงินกู้ ส่วนจำนวนที่เหลืออีกร้อยละ 35 ซึ่งถือเป็นเงินให้เปล่าบันทึก
ไว้ในบัญชี รายได้รอการตัดบัญชี ในงบดุล เนื่องจากฝ่ายบริหารเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฎิบัติ
ตามเงื่อนไขเกี่ยวกับเงินให้เปล่าตามที่ระบุไว้ในสัญญาได้ ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินกู้ ณ วันที่
31มีนาคม 2538 และ 2537 มีจำนวนเงินสุทธิ 6 ล้านบาท และ 5 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งได้
แสดงเป็นค่าใช้จ่ายรอการตัดบัญชีและรวมเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์อื่นในงบดุล รายได้รอการ
ตัดบัญชีและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินรอตัดบัญชีนี้จะทยอยรับรู้เป็นรายได้และค่าใช้จ่ายตาม
ระยะเวลาของการชำระคืนเงินกู้ยืม
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกับธนาคารในประเทศ
แห่งหนึ่ง โดยได้รับวงเงินสินเชื่อเป็นจำนวนเงินรวม 400 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นเงินกู้สกุล
เหรียญสหรัฐอเมริกาเทียบเท่าเงินสกุลบาท และเงินกู้สกุลบาทรวม 2 จำนวน ๆ ละ 200
ล้านบาทเท่า ๆ กัน โดยเงินกู้ยืมจำนวนแรกมีอัตราดอกเบี้ยตามอัตรา
SINGAPORE INTERBANK OFFERED RATE (SIBOR) บวกร้อยละ 2 ต่อปี ส่วนเงินกู้ยืม
จำนวนที่สองมีอัตราดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ (MLR) ที่ประกาศโดยธนาคาร
ในประเทศแห่งหนึ่ง เงินกู้ยืมนี้มีกำหนดชำระคืนทุนงวดสาม (3) เดือน งวดละเท่า ๆ กัน
ภายในระยะเวลา 8 ปี โดยเริ่มชำระงวดแรก ภายหลังครบกำหนดระยะเวลา 2 ปี นับ
แต่วันเบิกเงินกู้ เงินกู้ยืมนี้ค้ำประกันโดยการจดจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของบริษัทย่อย
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2538 บริษัทย่อยได้เบิกเงินกู้จากวงเงิน ดังกล่าวแล้วประมาณ 330
ล้านบาท (แบ่งเป็นเงินกู้สกุลเหรียญสหรัฐอเมริกาประมาณ 8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเทียบเท่า
เงินสกุลบาท 200 ล้านบาท และเงินกู้สกุลบบาทจำนวนวงเงิน 130 ล้านบาท)
- 6 -
บริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารในประเทศสองแห่งจำนวนเงิน
213.4 ล้านบาท และ 100 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย MLR บวกร้อยละ 1 และ MLR
บวกร้อยละ 0.5 ตามลำดับ การจ่ายชำระคืนเงินต้นเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2540 และ
ตุลาคม 2539 ตามลำดับเงินกู้ยืมเหล่านี้ค้ำประกันโดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน
7. ภาระผูกพันและหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้า
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2538
ก. บริษัทและบริษัทย่อยมีเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ยังไม่ได้ใช้เป็นจำนวนเงินรวมประมาณ
1,580 ล้านบาท
ข. บริษัทและบริษัทย่อยมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้าจากการประกันการประมูลงาน
กับลูกค้าเป็นจำนวนประมาณ 791 ล้านบาท ซึ่งบริษัทและบริษัทย่อยได้ให้ธนาคารออกหนังสือ
ค้ำประกันเพื่อค้ำประกันการประมูลงานดังกล่าว
ค. บริษัทมีภาระผูกพันภายใต้สัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้ากับธนาคาร
บางแห่งเป็นจำนวนเงินเทียบเท่าประมาณ 298 ล้านบาท
ง. บริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากการค้ำประกันกับธนาคารให้กับกิจการ
ร่วมค้าเป็นจำนวนเงินประมาณ 133 ล้านบาท
8. เงินปันผล
ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2538 ผู้ถือหุ้นได้มี
มติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิปี 2537 ในอัตราหุ้นละ 3 บาท สำหรับหุ้นจำนวน
40,000,000 หุ้น ณ วันที่ 31 มีนาคม 2538 บริษัทยังไม่ได้บันทึกเงินปันผลที่ประกาศจ่ายนี้
ไว้ในบ