งบการเงินระหว่างการบมจ.ล็อกซเล่ย์ และ บริษัทย่อย
29 สิงหาคม 2539
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ---------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------
งบการเงินระหว่างกาลรวม
สำหรับงวดสามเดือนและหกเดือน
สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2539 และ 2538
และ
รายงานของผู้สอบบัญชี ----------------------------------------------------------------- -----------------------------------------------------------------
รายงานของผู้สอบบัญชี
เสนอ คณะกรรมการบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน)
ข้าพเจ้าได้สอบทานงบดุลรวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2539 และงบกำไรขาดทุนรวมสำหรับ งวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุดวันเดียวกันของบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ส่วนงบการเงินของบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) สำหรับงวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุด วันที่ 30 มิถุนายน 2538 ที่นำมาแสดงเปรียบเทียบสอบทานโดยนายธวัช ภูษิตโภยไคย ซึ่งเป็นผู้ สอบบัญชีในสำนักงานเดียวกันกับข้าพเจ้า การสอบทานดังกล่าวกระทำตามมาตรฐานที่กำหนดโดย สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย
การสอบทานงบการเงินระหว่างกาลรวมนี้ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ระบบในการจัดทำงบการเงินระหว่างกาลรวม การใช้วิธีวิเคราะห์เปรียบเทียบในการวิเคราะห์ ข้อมูลทางการเงิน และการสอบถามเจ้าหน้าที่ของบริษัทผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทางการเงินและบัญชี ซึ่งการสอบทานนี้มีขอบเขตจำกัดกว่าการตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไปเพื่อ แสดงความเห็นต่องบการเงินรวมมาก ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่อาจแสดงความเห็นต่องบการเงินรวม ที่สอบทานได้
บริษัทบันทึกเงินลงทุนในบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้เสีย อย่างไรก็ตาม ส่วนได้เสียในผลการ ดำเนินงานของบริษัทร่วมในต่างประเทศที่แสดงรวมไว้ในงบกำไรขาดทุนรวมสำหรับงวดสามเดือน และหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2539 และ 2538 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 9.45 และ 8.4 ของ กำไรสุทธิสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีคำนวณตามงบการเงินที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ/ สอบทานโดยผู้สอบบัญชี
ยกเว้นเรื่องที่กล่าวในวรรคที่สาม ข้าพเจ้าไม่พบสิ่งที่เป็นสาระสำคัญอื่นซึ่งอาจจะต้องนำมา ปรับปรุงงบการเงินระหว่างกาลรวมนี้ให้เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปจากการสอบทานของ ข้าพเจ้าดังกล่าวข้างต้น
(นายวิเชียร ธรรมตระกูล)
ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
ทะเบียนเลขที่ 3183 กรุงเทพมหานคร 22 สิงหาคม 2539
ยังไม่ได้ตรวจสอบ
สอบทานแล้ว
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
งบดุลรวม
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2539 และ 2538
สิ น ท รั พ ย์
พั น บา ท
2539 2538 สินทรัพย์หมุนเวียน
เงินลงทุนระยะสั้นในตั๋วสัญญาใช้เงิน 2,348,686 1,240,438
ลูกหนี้การค้า - สุทธิ (หมายเหตุ 4) 2,061,528 1,799,548
สินค้าคงเหลือ - สุทธิ (หมายเหตุ 4) 1,439,839 1,614,415
ลูกหนี้และเงินให้กู้ยืมแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน (หมายเหตุ 2)296,923 120,175
สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 588,759 640,273
รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 6,735,735 5,414,849
เงินลงทุนในบริษัทร่วม - วิธีส่วนได้เสีย (หมายเหตุ 2) 2,671,062 1,803,376
เงินลงทุนในบริษัทอื่นที่เกี่ยวข้องกัน - ในราคาทุน (หมายเหตุ 2)746,740 224,079
เงินลงทุนในกิจการร่วมค้า - ราคาทุน 1,742 1,742
ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ - สุทธิ 1,583,474 1,341,542
สินทรัพย์อื่น (หมายเหตุ 5) 367,385 318,870
รวมสินทรัพย์ 12,106,138 9,104,458
โปรดดูรายงานการสอบทานของนายวิเชียร ธรรมตระกูล
ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2539 และหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม
ยังไม่ได้ตรวจสอบ
สอบทานแล้ว
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
งบดุลรวม
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2539 และ 2538
หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
พั น บา ท
2539 2538 หนี้สินหมุนเวียน
เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมจากธนาคาร 846,868 593,177
เจ้าหนี้การค้าและตั๋วเงินจ่าย 830,867 535,277
เจ้าหนี้และเงินกู้ยืมจากบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน (หมายเหตุ 2)291,556 466,797
หนี้สินหมุนเวียนอื่น 866,346 805,740
รวมหนี้สินหมุนเวียน 2,835,637 2,400,991
เงินกู้ยืมระยะยาว - สุทธิจากส่วนที่ครบกำหนดชำระภายในหนึ่งปี
(หมายเหตุ 5) 366,392 948,869
รายได้รอการตัดบัญชี - สุทธิ (หมายเหตุ 5) - 239,628 เงินรับล่วงหน้าจากลูกค้า (หมายเหตุ 4) 174,541 160,151 หุ้นกู้แปลงสภาพสกุลเงินต่างประเทศ (หมายเหตุ 6) 5,105,855 2,455,000 เงินทุนเลี้ยงชีพพนักงาน 74,345 54,754 หนี้สินอื่น 192,431 -
รวมหนี้สิน 8,749,201 6,259,393 ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัทย่อย 308,634 144,443 ส่วนของผู้ถือหุ้น (หมายเหตุ 6) 3,048,303 2,700,622 รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น 12,106,138 9,104,458
โปรดดูรายงานการสอบทานของนายวิเชียร ธรรมตระกูล
ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2539 และหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม
ยังไม่ได้ตรวจสอบ
สอบทานแล้ว
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
งบกำไรขาดทุนรวม
สำหรับงวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2539 และ 2538
พันบาท
งวดสามเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน
2539 2538 2539 2538 รายได้รายได้ (หมายเหตุ 2)
ขายผลิตภัณฑ์และบริการ 2,355,899 1,757,370 3,974,406 3,219,713
ส่วนได้เสียในกำไรของ
บริษัทร่วม-สุทธิ 115,030 96,047 206,076 188,843
ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่น
(หมายเหตุ 5) 477,319 86,566 832,341 191,298
รวมรายได้ 2,948,248 1,939,983 5,012,823 3,599,854 ต้นทุนและค่าใช้จ่าย (หมายเหตุ 2)
ต้นทุนขายและบริการ 1,791,559 1,216,084 3,002,271 2,300,421
ค่าใช้จ่ายอื่น (หมายเหตุ 5) 900,126 533,815 1,597,894 1,030,363
ภาษีเงินได้ 103,108 23,177 137,071 29,803
รวมต้นทุนและค่าใช้จ่าย 2,794,793 1,773,076 4,737,236 3,360,587 กำไรก่อนขาดทุนสุทธิของบริษัทย่อย
ก่อนซื้อเงินลงทุนและส่วนของผู้ถือหุ้น
ส่วนน้อยในกำไรสุทธิของบริษัทย่อย 153,455 166,907 275,587 239,267 ขาดทุนสุทธิของบริษัทย่อย
ก่อนซื้อเงินลงทุน 312 - 312 - ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในขาดทุน
(กำไร) สุทธิของบริษัทย่อย (10,361) (1,790) 7,655 (115) กำไรสุทธิ 143,406 165,117 283,554 239,152 กำไรต่อหุ้น (บาท) 3.59 4.13 7.09 5.98
โปรดดูรายงานการสอบทานของนายวิเชียร ธรรมตระกูล
ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2539 และหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
หมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม
วันที่ 30 มิถุนายน 2539 และ 2538 1.เกณฑ์ในการจัดทำงบการเงินรวม
งบการเงินรวมนี้ได้รวมบัญชีของบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทต่าง ๆ ซึ่ง เป็นบริษัทย่อยหรือบริษัทที่บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) มีอำนาจควบคุม ดังต่อไปนี้
อัตราร้อยละของหุ้นที่ถือครอง
ณ วันที่ 30 มิถุนายน
2539 2538 บริษัทย่อย
บริษัท ล็อกซเล่ย์ บิสซิเนส อินฟอร์เมชั่น
เทคโนโลยี จำกัด 99 99
บริษัท ล็อกซเล่ย์ เมียนมาร์ จำกัด (ยังไม่ได้
ประกอบพาณิชยกิจหลัก) 99 99
บริษัท เซลลูล่าร์ โปรดักส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด 99 -
บริษัท ล็อกซเล่ย์ คอมแวร์ จำกัด 70 -
บริษัท โปรเฟสชั่นนัลคอมพิวเตอร์ จำกัด 67 67
บริษัท โอเพ่น ซีสเต็ม อินทิเกรเตอร์ จำกัด 67 67
บริษัท ล็อกซเล่ย์ นิวเท็ค จำกัด 67 -
บริษัท การค้าลาว จำกัด (ยังไม่ได้ประกอบ
พาณิชยกิจหลัก) 67 -
บริษัท ล็อกซเล่ย์ อินฟอร์เมชั่น จำกัด 65 -
บริษัท ล็อกซเล่ย์ อินฟอร์เมชั่น เซอร์วิส จำกัด 65 -
บริษัท ล็อกซเล่ย์ บรอดคาส แอนด์ มีเดีย จำกัด 60 60
บริษัท ล็อกซเล่ย์ อินฟรา จำกัด 60 60
บริษัท ฮัทชิสัน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์
(ประเทศไทย) จำกัด 55 55
บริษัท ล็อกซเล่ย์ เพจโฟน จำกัด 55 55
บริษัท ล็อกซ์ดาต้า จำกัด 52 52
บริษัท ล็อกซเล่ย์ แซทเทลไลท์ คอมมิวนิเคชั่นส์
จำกัด (ยังไม่ได้ประกอบพาณิชยกิจหลัก) 51 -
บริษัท ทีเอ็นที ลอจีสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด 51 -
- 2 -
อัตราร้อยละของหุ้นที่ถือครอง
ณ วันที่ 30 มิถุนายน
2539 2538 บริษัทที่บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน)
มีอำนาจควบคุม
บริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด
(เดิมชื่อบริษัท ธนากรเทรดดิ้ง จำกัด) 50 50
บริษัท ล็อกซเล่ย์ พลังงาน จำกัด
(ยังไม่ได้ประกอบพาณิชยกิจหลัก) 45 -
บริษัท ล็อกซเล่ย์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด 40 40
บริษัท ล็อกซเล่ย์ อินเตอร์กราฟ (ประเทศไทย) จำกัด 40 40
รายการบัญชีที่เป็นสาระสำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างบริษัทและบริษัทต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นได้ แสดงหักกลบลบกันในงบการเงินระหว่างกาลรวมนี้แล้ว
ในไตรมาสที่สองของปี 2537 บริษัทได้ลงทุนในหุ้นทุนของบริษัท ฮัทชิสัน เทเลคอม- มิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ฮัทชิสัน) เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 45 เป็นร้อยละ 55 ใน เดือนพฤษภาคม 2537 ณ วันที่บริษัทซื้อหุ้นของบริษัท ฮัทชิสัน บริษัทต้องจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นเกิน ว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิของบริษัทดังกล่าว ซึ่งเป็นผลให้บริษัทต้องบันทึกรับรู้ไว้เป็น "จำนวนเงิน ลงทุนในบริษัทย่อยส่วนที่เกินกว่าสินทรัพย์สุทธิ" ในบัญชีสินทรัพย์อื่น ซึ่งตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่าย ภายในเวลาประมาณ 12 ปี ยอดคงเหลือที่ยังไม่ได้ตัดบัญชี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2539 มีจำนวนเงินประมาณ 27.8 ล้านบาท
อนึ่ง เนื่องจากบริษัทถือหุ้นในบริษัท ฮัทชิสัน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ฮัทชิสัน) เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 45 เป็นร้อยละ 55 ในเดือนพฤษภาคม 2537 ดังกล่าว ข้างต้น ดังนั้น บริษัทจึงเปลี่ยนแปลงการรับรู้ผลขาดทุนสะสมเกินทุนในบริษัทดังกล่าวที่มีอยู่เดิม และที่เกิดขึ้นใหม่โดยในช่วงที่บริษัทถือหุ้นของบริษัทนี้เพียงร้อยละ 45 บริษัทบันทึกบัญชี เงิน ลงทุนในบริษัทนี้ตามวิธีส่วนได้เสีย บริษัทจึงไม่ได้บันทึกรับรู้ผลขาดทุนสะสมเกินทุนที่เป็นส่วน ของบริษัทในงบการเงิน อย่างไรก็ดี เมื่อบริษัทถือหุ้นเป็นร้อยละ 55 บริษัทต้องนำงบการเงิน ของฮัทชิสันมาจัดทำงบการเงินรวม ในการนี้ บริษัทได้บันทึกรับรู้ผลขาดทุนในขาดทุนสะสมเกินทุน
- 3 -
ของฮัทชิสันทั้งหมดในงบการเงินรวมด้วย ซึ่งผลขาดทุนดังกล่าวได้รวมผลขาดทุนในฮัทชิสันที่ เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจำนวน 60.4 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้บันทึกรอตัดบัญชี ไว้ในบัญชีสิน ทรัพย์อื่น และตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายโดยวิธีเส้นตรงภายในเวลาประมาณ 12 ปี นอกจากนี้ บริษัทจะนำส่วนแบ่งกำไรของฮัทชิสันที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยมาหักออกจากยอดที่ยังตัดบัญชีไม่หมด เมื่อฮัทชิสันมีกำไรด้วย อย่างไรก็ตาม ในระหว่างไตรมาสที่หนึ่งของปี 2539 ฮัทชิสันได้เพิ่มทุน จดทะเบียนของบริษัททำให้ขาดทุนสะสมเกินทุนของฮัทชิสันหมดไป บริษัทจึงได้ปรับปรุงยอดคงเหลือ ในขาดทุนสะสมเกินทุนส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยที่ยังไม่ได้ตัดบัญชีจำนวนเงินรวมประมาณ 35.8 ล้านบาท กับส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในฮัทชิสันซึ่งเพิ่มขึ้นจากการจดทะเบียนเพิ่มทุนดังกล่าว
บริษัทได้นำงบการเงินของบริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด (เดิมชื่อ บริษัท ธนากร เทรดดิ้ง จำกัด) ซึ่งบริษัทลงทุนไว้ร้อยละ 50 ในเดือนพฤษภาคม 2537 มารวมในการจัดทำงบ การเงินรวมด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีอำนาจในการควบคุม ในวันที่บริษัทซื้อหุ้นของบริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด บริษัทได้จ่ายเงินค่าซื้อหุ้นเกินกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิของบริษัทดังกล่าว ซึ่งเป็นผลทำให้บริษัทต้องบันทึกรับรู้ไว้เป็น "จำนวนเงินลงทุนในบริษัทย่อยส่วนที่เกินกว่าสินทรัพย์ สุทธิ" ในบัญชีสินทรัพย์อื่นซึ่งตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายภายในเวลา 15 ปี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2539 ยอดคงเหลือที่ยังไม่ได้ตัดบัญชี มีจำนวนเงินประมาณ 44.7 ล้านบาท นอกจากนี้ ในการนำงบการเงินของบริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด มาจัดทำงบการเงินรวมนั้น บริษัท ได้บันทึกผลขาดทุนในขาดทุนสะสมเกินทุนของบริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด ทั้งหมดในงบการเงิน รวมด้วย ซึ่งผลขาดทุนดังกล่าวได้รวมผลขาดทุนที่เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจำนวน 27 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้บันทึกรอตัดบัญชีไว้ในบัญชีสินทรัพย์อื่นและตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่าย ภายในเวลา 15 ปี อย่างไรก็ดี บริษัทได้นำส่วนแบ่งในกำไรของบริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด เฉพาะที่เป็นของ ผู้ถือหุ้นส่วนน้อยมาหักออกจากยอดคงเหลือในบัญชีดังกล่าวหมดแล้วในปี 2538
2. รายการบัญชีกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน
รายการธุรกิจบางส่วนของบริษัทและบริษัทย่อยเกิดจากรายการบัญชีกับบริษัทที่เกี่ยว ข้องกัน บริษัทเหล่านี้เกี่ยวข้องกันโดยการมีผู้ถือหุ้นและ/หรือกรรมการร่วมกัน งบการเงิน ระหว่างกาลรวมนี้ได้รวมผลของรายการดังกล่าวตามเกณฑ์ที่ตกลงร่วมกันระหว่างบริษัทและบริษัท ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันดังกล่าว
- 4 -
3. กำไรต่อหุ้น
กำไรต่อหุ้นคำนวณโดยการหารกำไรสุทธิรวมด้วยจำนวนหุ้นที่ได้รับชำระแล้ว ณ วันที่ ในงบดุล
4. ลูกหนี้การค้าและสินค้าคงเหลือ
ลูกหนี้การค้าและสินค้าคงเหลือส่วนที่เป็นงานระหว่างติดตั้งส่วนหนึ่งเป็นรายการที่เกิดกับ หน่วยงานราชการซึ่งใช้เวลาในการติดตั้งมากกว่าหนึ่งปี ทั้งนี้บริษัทและบริษัทย่อยได้รับเงิน ล่วงหน้าจากลูกค้าแล้วส่วนหนึ่ง
5. เงินกู้ยืมระยะยาว รายได้และค่าใช้จ่ายรอตัดบัญชี
ในเดือนมีนาคม 2536 บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจากธนาคารในประเทศแห่งหนึ่งเพื่อ นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นเงินประมาณ 41 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามเงื่อนไข ของสัญญาดังกล่าว บริษัทจะจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืมนี้เพียงร้อยละ 65 ส่วนจำนวนเงินกู้ยืมอีก ร้อยละ 35 ของวงเงินกู้ให้ถือเป็นเงินให้เปล่า เว้นแต่กรณีบริษัทผิดเงื่อนไขในสัญญา เงินกู้นี้มี อัตราดอกเบี้ยตามอัตรา LONDON INTERBANK OFFERED RATE (LIBOR) บวกร้อยละ 2.775 ต่อปี และมีกำหนดชำระคืนเป็นงวดทุกงวดหกเดือนรวม 20 งวด โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2537
บริษัทถือปฏิบัติในการบันทึกเงินต้นจากการกู้ยืมเงินจากวงเงินกู้ยืมดังกล่าวเพียงร้อยละ 65 ของเงินกู้ที่เบิกใช้ในแต่ละคราว และบันทึกจำนวนที่เหลืออีกร้อยละ 35 ซึ่งถือเป็นเงินให้เปล่า ไว้ในบัญชี "รายได้รอตัดบัญชี" ในงบดุล เนื่องจากฝ่ายบริหารเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติตาม เงื่อนไขเกี่ยวกับเงินให้เปล่าตามที่ระบุไว้ในสัญญาได้ นอกจากนี้ ภายใต้เงื่อนไขตามสัญญา ดังกล่าว บริษัทได้จ่ายค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินกู้จำนวน 12 ล้านบาท ซึ่งได้บันทึกไว้เป็น "ค่าใช้จ่ายรอตัดบัญชี" และแสดงไว้เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์อื่นในงบดุล รายได้รอตัดบัญชีและ ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินกู้รอตัดบัญชีนี้จะทยอยรับรู้เป็นรายได้และค่า ใช้จ่ายตามอายุของสัญญาเงินกู้
- 5 -
ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2539 บริษัทได้ชำระคืนเงินกู้ยืมดังกล่าวทั้งจำนวนก่อนกำหนด เป็นจำนวนเงินรวมเทียบเท่าประมาณ 454.2 ล้านบาท (รวมค่าธรรมเนียมการชำระคืนเงินกู้ก่อน กำหนดจำนวน 4.3 ล้านบาท) และปรับปรุงยอดคงเหลือที่ยังไม่ตัดบัญชีของรายได้และ ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินกู้รอตัดบัญชีเป็นรายได้และค่าใช้จ่ายทั้งจำนวนในงบกำไรขาดทุน
ในเดือนมีนาคม 2537 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกับธนาคารในประเทศ แห่งหนึ่ง โดยได้รับวงเงินสินเชื่อเป็นจำนวนเงินรวม 400 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นเงินกู้สกุลเหรียญ สหรัฐอเมริกาเทียบเท่าเงินสกุลบาท และเงินกู้สกุลบาทรวม 2 จำนวน ๆ ละ 200 ล้านบาทเท่า ๆ กัน โดยเงินกู้ยืมจำนวนแรกมีดอกเบี้ยตามอัตรา SINGAPORE INTERBANK OFFERED RATE (SIBOR) บวกร้อยละ 2 ต่อปี ส่วนเงินกู้ยืมจำนวนที่สองมีดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ (MLR) ที่ประกาศโดยธนาคารในประเทศแห่งหนึ่ง เงินกู้ยืมนี้มีกำหนดชำระคืนเป็นงวดทุกงวด สามเดือนรวม 24 งวด โดยเริ่มชำระงวดแรกภายหลังครบกำหนดระยะเวลา 2 ปีนับแต่วันเบิก เงินกู้ เงินกู้ยืมนี้ค้ำประกันโดยการจดจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของบริษัทย่อย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2539 บริษัทย่อยได้เบิกเงินกู้จากวงเงินดังกล่าวเป็นจำนวนเงินเทียบเท่ารวมประมาณ 360 ล้านบาท
ในเดือนตุลาคม 2537 และกันยายน 2538 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจาก ธนาคารในประเทศแห่งหนึ่งเป็นจำนวนเงิน 60 ล้านบาท และ 13.5 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมี กำหนดชำระคืนเป็นงวดสิ้นสุดเดือนเมษายน 2544 และเดือนกันยายน 2543 ตามลำดับ เงินกู้ยืมนี้ค้ำประกันโดยการจำนำเครื่องจักรและอุปกรณ์ดำเนินงานของบริษัทย่อย
บริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารในประเทศสองแห่งจำนวนเงิน 96.7 ล้านบาท และ 30 ล้านบาท ซึ่งมีดอกเบี้ยตามอัตรา MOR บวกร้อยละ 0.5 ต่อปี โดยมีกำหนด ชำระคืนเป็นงวดจนถึงเดือนมีนาคม 2540 และตุลาคม 2539 ตามลำดับ เงินกู้ยืมเหล่านี้ค้ำประกัน โดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน
- 6 -
6. หุ้นกู้แปลงสภาพสกุลเงินต่างประเทศ
ในระหว่างไตรมาสที่สองของปี 2538 บริษัทออกหุ้นกู้แปลงสภาพสกุลเงินต่างประเทศ จำหน่ายในต่างประเทศในราคาตามมูลค่าที่ตราไว้เป็นจำนวนรวม 100 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา (แบ่งเป็น 100,000 หุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1,000 เหรียญสหรัฐอเมริกา) หรือเทียบเท่า เป็นเงินบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้คงที่เมื่อแปลงสภาพหรือไถ่ถอนเท่ากับ 2,455 ล้านบาท หุ้นกู้นี้มีดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3.5 ต่อปี โดยจะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 20 เมษายน 2548 ในราคาไถ่ถอนและอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่กำหนด อย่างไรก็ตามผู้ถือหุ้นกู้ สามารถใช้สิทธิแปลงสภาพหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญของบริษัทในราคาแปลงสภาพและอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ที่กำหนด ณ เวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ในระหว่างวันที่ 20 กรกฎาคม 2538 ถึงวันที่ 20 มีนาคม 2548 หรือใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดในวันที่ 20 เมษายน 2543 ทั้งนี้ต้องเข้าเงื่อนไขและ ข้อกำหนดบางประการตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน นอกจากนี้บริษัทสามารถใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ บางส่วนหรือทั้งหมดก่อนกำหนดได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2541 จนถึงวันที่ 20 เมษายน 2543 ถ้าเข้าเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ ในการนี้บริษัทต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดบางประการ ที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน
ในระหว่างไตรมาสที่สองของปี 2539 บริษัทออกหุ้นกู้แปลงสภาพสกุลเงินตราต่าง ประเทศจำหน่ายในต่างประเทศเพิ่มเติมในราคาตามมูลค่าที่ตราไว้เป็นจำนวนรวม 105 ล้าน เหรียญสหรัฐอเมริกา (แบ่งเป็น 105,000 หุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1,000 เหรียญสหรัฐ อเมริกา) หรือเทียบเท่าเป็นเงินบาทตามอัตราและเปลี่ยนที่กำหนดไว้คงที่เมื่อแปลงสภาพหรือไถ่ ถอนเท่ากับ 2,646 ล้านบาท หุ้นกู้นี้มีดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อปี โดยจะครบกำหนดไถ่ ถอนในวันที่ 4 เมษายน 2544 ในราคาไถ่ถอนและอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นกู้สามารถใช้สิทธิแปลงสภาพหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญของบริษัทในราคาแปลงสภาพและอัตราแลก เปลี่ยนคงที่ที่กำหนด ณ เวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ในระหว่างวันที่ 4 กรกฎาคม 2539 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2544 นอกจากนี้ บริษัทสามารถใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้บางส่วนหรือทั้งหมดก่อนกำหนดได้ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2542 จนถึงวันที่ 3 เมษายน 2543 ถ้าเข้าเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ ในการนี้ บริษัทต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน
- 7 -
เกี่ยวเนื่องกับการออกหุ้นกู้ดังกล่าวข้างต้น ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 ผู้ถือหุ้นมีมติให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะบียนของบริษัทจาก 400 ล้านบาท (แบ่งเป็น 40 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท) เป็น 460 ล้านบาท (แบ่งเป็น 46 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท) และต่อมาได้มีมติเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2539 ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 460 ล้านบาท (แบ่งเป็น 46 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท) เป็น 520 ล้านบาท (แบ่งเป็น 52 ล้านหุ้น มูลค่า หุ้นละ 10 บาท) โดยให้สำรองหุ้นสามัญจำนวนรวม 12 ล้านหุ้นที่เพิ่มนี้ เพื่อรองรับการใช้สิทธิ ในการแปลงสภาพหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญ บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนดังกล่าวกับกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2538 และวันที่ 20 มีนาคม 2539 ตามลำดับ
7. เงินปันผล
ในการประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2539 และวันที่ 25 เมษายน 2538 ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจำนวนรวม 140 ล้านบาท ในปี 2539 และ 120 ล้านบาท ในปี 2538 (อัตราหุ้นละ 3.50 บาท และ 3 บาท ตามลำดับ)
8. ภาระผูกพันและหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้า
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2539
ก. บริษัทและบริษัทย่อยมีเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ยังไม่ได้ใช้เป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 1,712.03 ล้านบาท
ข. บริษัทและบริษัทย่อยมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้าจากการประกันการประมูลงานกับ ลูกค้าเป็นจำนวนประมาณ 964.44 ล้านบาท ซึ่งบริษัทและบริษัทย่อยได้ให้ธนาคารออกหนังสือ ค้ำประกันเพื่อค้ำประกันการประมูลงานดังกล่าว
ค. บริษัทมีภาระผูกพันภายใต้สัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้ากับธนาคารบางแห่ง เป็นจำนวนเงินเทียบเท่าประมาณ 40.59 ล้านบาท
ง. บริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้าจากการค้ำประกันกับธนาคารให้กับ กิจการร่วมค้าเป็นจำนวนเงินประมาณ 133 ล้านบาท